นอกเรื่องเภสัชกันสักนิด ว่าด้วยเรื่อง “เพอร์เฟ็กต์ชันนิสต์”

ถ้าพูดคำว่า “เพอร์เฟ็กต์ชันนิสต์” หลายคนคงนึกถึงคนเก่ง คนทำงานดี คนสมบูรณ์แบบ ซึ่งแอดเองก็เคยเป็นหนึ่งในคนที่คิดอย่างนั้น และแอดไม่เคยรู้ตัวเองม

ก่อนเลยว่าตัวเองเป็นเพอร์เฟ็กต์ชันนิสต์ จนกระทั่งได้มาทำงานงานหนึ่ง และโดนหลายๆ ฝ่ายติงมาว่าเราตึงเกินไป

พอเราย้อนกลับมาดูตัวเอง เราก็คิดแค่ว่าเราอยากจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด สิ่งไหนที่อยู่ในความรับผิดชอบของเรา เราก็อยากทำให้มันสำเร็จ อยากทำให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีอย่างสุดความสามารถของเรา เราคิดแค่ว่าเราอยากพัฒนาตัวเองเสมอไม่อยากหยุดนิ่ง และเราก็ดำเนินชีวิตด้วยความคิดชุดนั้นเรื่อยมา
จนวันหนึ่ง วันที่เราต้องมาทำงานร่วมกับคนที่หลากหลาย ขึ้นชื่อว่างานกลุ่มมันก็คือการรวมตัวกันของคนหลายสไตล์ และหลายครั้งแน่นอนว่ามันต้องมีบา

อย่างที่ไม่ถูกใจเรา จนในที่สุดความตึงนั้นก็เป็นปัญหา และทำให้ทุกคนล้มเป็นโดมิโน

ตอนนี้เรามานั่งคิดกับตัวเอง ว่าสาเหตุที่แท้จริงมันเกิดจากอะไรกันแน่ ทำไมทุกอย่างถึงพังเละเทะแบบนี้ เรื่องพื้นฐานที่เราคิดว่าทุกคนควรทำได้ ทำไมมันถึงกลายเป็นเรื่องยากยองคนอื่น มาตรฐานของเราที่เราคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ทำไมในสายตาคนอื่นมันถึงกลายเป็นว่าเราตั้งมาตรฐานสูงเกินไป

พอคิดไปคิดมา เราก็คิดว่าปัญหาน่าจะเกิดจากการที่เราดำเนินชีวิตตึงเกินไปจริงๆ นั่นแหละ สายตาของเรามองเพียงข้างหน้า ขาของเราก้าวไปเพียงข้างหน้า ถามว่าเราเคยล้มมั้ย เคยสิ บ่อยด้วย แต่พอเราล้มเราก็คลาน คือไม่ว่ายังไงเราก็ยัง force ตัวเองว่าจะต้องไปต่อนะ ห้ามหยุดนะ พอกลับมามีแรงอีกครั้งเราก็เดิน

สักพักวิ่งได้ก็วิ่ง เรียกได้ว่าทำยังไงก็ได้ให้ไปข้างหน้าเร็วที่สุด ดีที่สุด

และเพราะมัวแต่มองไปข้างหน้า เราถึงไม่ได้มองไปรอบข้างหรือว่าข้างล่างเลย

เราไม่ทันมองไปด้านข้างว่ายังมีบางคนที่ตามเราไม่ทัน เราไม่ทันมองไปข้างล่างว่าขาของเรานั้นเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและแผลถลอก เราเอาแต่จะก้าว เอาแต่จะวิ่ง จนลืมแม้กระทั่งการสร้างรากฐานให้แข็งแรง

และสิ่งที่แย่ที่สุดก็คือการเอามาตรฐานตัวเองไปวัดคนอื่น และพยายาม force ให้งานกลุ่มมันเป็นไปตามความต้องการของเรา ทั้งๆ ที่คนอื่นก็อาจจะไม่โอเค หรือแม้กระทั่งตัวเราเองก็อาจจะไม่แกร่งพอที่จะรองรับทุกอย่างไหว

วันนี้เหมือนเป็นวันที่มีคนเอาค้อนปอนด์อันโตๆ มาทุบหน้าเราหนึ่งที เรามึน เรางงไปหมด แต่เราก็พร้อมที่จะรับฟังทุกอย่างเพื่อนำไปปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้คำติเตียนครั้งนี้ต่างจากครั้งอื่น คือนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกให้เราพัฒนาตัวเองโดยการก้าวถอยหลัง หรือหยุดพักบ้าง พักเพื่อรักษาสภาพตัวเอง พักเพื่อเฝ้ามองคนรอบข้างให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ในโลกใบนี้มันเต็มไปด้วยการแข่งขันมากมาย ใครหลายคนอาจจะเคยชินกับการวิ่งแข่งขันกันในสนาม จนหลงลืมสิ่งสำคัญรอบข้าง ถ้าอ่านกันมาถึงตรงนี้แล้ว ลองหยุดสักพักดีไหมคะ หลับตาลงสักห้าหรือสิบนาที ทบทวนตัวเองว่าทุกวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรที่เราฝืนตัวเองเกินไปหรือเปล่า ถามตัวเองสักหน่อยว่าเหนื่อยมั้ย ถ้าเหนื่อย ลองหาเวลาพักผ่อนก่อนดีมั้ยคะ

การพักผ่อนไม่ใช่แค่การพักกายนอนหลับหรือไปเที่ยว การพักผ่อนหลักๆ ที่เราหมายถึงคือการพักใจนี่แหละค่ะ ลองปล่อยวางเรื่องราวต่างๆ ในหัว สิ่งไหนที่ตึงเกินไปก็ลองผ่อน สิ่งไหนที่หนักเกินไปก็ลองวาง หาวิธีผ่อนคลายใจตัวเองบ้าง จะได้ไม่เกิดเป็นความเครียดต่อตัวเองและคนอื่นมากจนเกินไป

ด้วยรัก


Share this:

Posted in บทความ.

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *