ทำไมพี่ถึงเลือกเรียนเภสัช ?

ช่วงนี้มีคำถามแบบนี้มาเยอะจริงๆว่า ทำไมพี่ถึงเลือกเรียนเภสัช  เอาเป็นว่าไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม พี่ขออธิบายดังนี้ครับ

ตอนมัธยม พี่เล็งไว้ 3 คณะ คือ แพทย์ เภสัช และวิศวะ-คอม จากนั้นพี่ก็ศึกษาข้อมูลแต่ละคณะอย่างละเอียด ตอนนั้น พวกข้อมูลแบบว่า คณะไหน เป็นยังไง จบแล้วเป็นยังไง พี่ก็หาไม่ค่อยได้หรอกครับ อันที่จริงตอนนั้นข้อมูลเยอะไม่เยอะเหมือนสมัยนี้ แต่ที่พี่ทำอย่างแรกคือ พี่เปิดหลักสูตรของแต่ละคณะ ดูว่าเค้าเรียนวิชาอะไรบ้าง จากนั้นก็ถ้าหาอ่านเสริมได้ก็อ่านเสริม ถ้าหาคนถามได้ก็ถามถาม

มันก็จะออกมาเป็นแบบนี้ครับ

แพทย์ : อ่านหลักสูตรของคณะแพทย์ + คุยกับรุ่นพี่ที่เรียนแพทย์
เภสัช : อ่านหลักสูตรของคณะเภสัช + อ่านบอร์ด pharmacafe.com (มีถามในบอร์ดบ้างนิดหน่อย)
วิศวะ-คอม : อ่านหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์คอมพิวเตอร์ + คุยกับพี่ที่เป็นวิศวกรคอมพ์จริงๆ

เอาวิศวะ-คอมก่อนละกัน

หลังจากพี่อ่านหลักสูตรของวิศวะ-คอม สิ่งที่พี่พบคือ พี่พบว่าจริงๆแล้ว วิชาที่พี่อยากเรียนในวิศวะ-คอม รวมๆแล้วมันมีแค่ 10 วิชาเท่านั้น นอกนั้น บอกตามตรง ไม่รู้พี่จะเรียนไปทำไม (คือพี่อยากรู้แค่นี้) ไปๆมาๆ พี่พบว่าจริงๆแล้ว วิชาที่พี่อยากเรียนมันอยู่ในวิทยาการคอมซะมากกว่า แต่เอาตรงๆนะ วิทยาการคอม มันไม่ค่อยเท่อ่ะ วิศวะคอมมันเท่กว่า

จากนั้นพี่ก็ศึกษาต่อไปเรื่อยๆครับ ศึกษาจนพบว่า อ่อ วิศวะมันมีไปทาง hardware, software, network พวก hardware ก็ไปดูพวก firmware ในชิ้นส่วนต่างๆ อย่างเช่น ฮาร์ดดิส (ตอนนั้นไทยส่งออก harddisk อันดับ 1 ของโลกนะครับ) หรืออีกทางก็เป็น developer, system analyst อยากเป็นแฮกเกอร์ก็ต้องศึกษา network เยอะๆ ก็คร่าวๆประมาณนี้ สำหรับเด็ก ม.6 คนนึงที่พยายามจะศึกษา

พอพี่ศึกษาไปเรื่อยๆ พี่เริ่มสังเกตุว่า ทำไมในงานหลายๆอย่าง หรือในหลายๆสายงาน วิทยาการคอมเรียนมาตรงมากกว่า แต่คนที่ดังๆและประสบความสำเร็จในสายงานกลับจบจากวิศวะ-คอมมากกว่า ซึ่งพี่ก็ยังหาคำตอบที่แท้จริงไม่ได้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นนะครับ ก็ได้แต่คาดการณ์ไปเอง

แต่สิ่งที่พี่พบอย่างนึงคือ มันไม่ได้สัมพันธ์กันว่าได้เรียนมาหรือเปล่า แต่หากเราชอบ หลงไหล เราก็จะตั้งใจศึกษาจนเราสามารถทำได้ไม่แพ้คนที่เรียนมาโดยตรง ในทางกลับกันต่อให้เราเรียนมาตรงสาย แต่ถ้าหากเราไม่ได้ชอบหรือรักมันจริงๆ เราก็จะไม่ค้นคว้า พัฒนาต่อยอด หรือหากทำก็จะทำแบบฝืนๆ ทำให้เราไปได้ไม่สุดในเส้นทางนั้น

พอได้ข้อมูลดังนี้ พี่เลยตัดสินใจว่า ไอ 10 วิชาที่พี่อยากเรียนในวิศวะ-คอมน่ะ ค่อยศึกษาเอาเองละกัน อาจจะจบก่อนแล้วค่อยศึกษา หรือถ้าเรียนในมหาลัยแล้วมีเวลาว่างๆ ก็ไปขอร้องอาจารย์ในภาควิชาลงเรียนเลยดีกว่า (แต่พอเอาเข้าจริงๆก็เรียน 20-22 หน่วยทุกเทอม ไม่มีเวลาไปเบียดลงเลย 5555+) เพราะฉะนั้นมหาลัยที่พี่จะลงเรียน อย่างแรกต้องมีวิศวะ-คอม เผื่อวันนึง จะได้มีโอกาสไปขอร้องอาจารย์ลงเรียน (และวันนั้นไม่มีอยู่จริง)

ต่อมาแพทย์

แน่นอน ในชีวิตเด็ก ม.6 ใครสอบติดแพทย์ มันเหมือนได้รับถ้วยรางวัลแห่งชัยชนะในชีวิตการเรียนมัธยมยังไงยังงั้น 5555+ เพราะฉะนั้นพี่จึงตั้งใจว่าจะลงสอบแพทย์สัก 1 แห่ง แน่นอน (แต่จะเรียนหรือเปล่าอีกเรื่องนึง) เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ตนเอง (ตอนนั้นแม่มบ้า) แล้วก็พี่สอบติดข้อเขียนแพทย์ PI ครับ แต่สุดท้ายแล้วพี่ก็ไม่ไปสัมภาษณ์

พี่เข้าใจความรู้สึกคนติดแพทย์นะ ทั้งๆที่พี่รู้ตัวว่ามันไม่ใช่แนวพี่สักเท่าไร แต่พอติดจริงๆแล้ว มันคนละเรื่องเลย เรากลายเป็นคนเก่งในสายตาของคนอื่น เป็นความภาคภูมิของคนในครอบครัว สายตาของคนในสังคมที่มองเราก็เปลี่ยนไป เรากลายเป็นความหวังของใครหลายต่อหลายคน ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ พอมันเข้ามาแล้ว แน่นอนว่า ใครก็รู้สึกดีครับ ซึ่งเจ้าความรู้สึกดีนี้ ถ้าเราจับความรู้สึกตอนนั้นเป็นที่ตั้ง เราก็จะเผลอคิดไปว่าเราชอบแพทย์จริงๆ ซึ่งพี่ก็เคยเผลอเป็นแบบนั้น

อันที่จริงอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่ดีมากนะครับ รายได้โอเค ได้ช่วยเหลือคนอื่น มีเกียรติ คนในสังคมให้ความเคารพนับถือ ที่ต้องใช้คือความอดทน (อย่างมหาศาล) เท่านั้นเอง แต่พี่ไม่เลือกเพราะ พี่มองว่า ที่สุดแล้ว ถ้าพี่เป็นแพทย์ ยังไงเป้าหมายสุดท้ายของพี่ก็คือ staff ซึ่งถ้าได้เป็น staff ชีวิตมันก็โอเคแล้วแหละ แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น เราต้อง เรียนหมอ 6 ปี + ใช้ทุน 3 ปี + เรียนเด้น เป็นเฟลโล่ว กว่าจะได้เป็น staff ก็อายุ 30++ แล้ว และในระหว่างทางเดินนั้นก็ดูดเวลาเราไปมหาศาล คือ ถ้าไม่เทพจริง ก็หาเวลาว่างกระดิกตัวไปทำอย่างอื่นเป็นชิ้นเป็นอันยากอ่ะ พี่เลยคิดว่า พี่เรียนคณะอื่น แล้วเอาเวลาส่วนต่าง 10 ปี ที่มีมากกว่าไปทำอย่างอื่นที่อยากทำดีกว่า หากพี่คิดจะเริ่มต้นใหม่ เปลี่ยนทางเดิน แล้วมาเปลี่ยนตอน 30++ ถ้าพลาดขึ้นมามันกลับตัวยากมาก (ส่วนนึงเพราะพี่ไม่ชัวร์กับหมอด้วย และไม่ได้ love มาตั้งแต่แรก ทำให้พี่นำปัจจัยเรื่องเปลี่ยนทางเดินใหม่มาคิดด้วยตลอด)

มาถึงเภสัช

ตอนนั้น จากที่พี่ศึกษามา คณะนี้มีที่พี่ชอบอยู่อย่างนึงคือมันหลากหลายมาก ลองคิดดูสิ จะมีสักกี่อาชีพที่

  1. อยากอยู่โรงพยาบาลก็อยู่ได้
  2. อยากทำธุรกิจตัวเองก็ได้ (เปิดร้านยา)
  3. อยากไปจับผู้ร้ายกับตำรวจก็ได้ (งานคุ้มครองผู้บริโภค)
  4. อยากทำงานส่วนกลางในกระทรวงก็ได้
  5. อยากอยู่บ้านนอกไกลๆก็ได้
  6. อยากทำงานในบริษัท นั่งเก๋ๆในออฟฟิตก็ได้
  7. อยากออกบู๊ สู้ตลาด ปั้นการขายก็ได้
  8. อยากอยู่โรงงานก็ได้
  9. อยากอยู่ห้องแลบก็ได้
  10. อยากทำวิจัยก็ได้
  11. จะ diff หรือ hybrid ไปสมุนไพร ยาแผนโบราณ อาหารเสริม เครื่องสำอาง วัตถุอันตราย ก็ยังได้
  12. จะเล่นสายสว่างก็ได้ สายดาร์คก็ได้

แต่ข้อเสียก็หนักหน่วงเหมือนกัน คือ มันไปได้ไม่ค่อยสุดสักทาง คือเภสัชกรเป็นอาชีพที่ อยู่ได้ทุกจุดใน drug cycle chain อ่ะ แถมศาสตร์ด้านยา ยังถูกนำไปประยุกต์ค่อนข้างหลากหลาย อย่างในวงการเครื่องสำอาง หรืออาหารเสริม รากฐานดั้งเดิมอย่างสูตรตำรับ เนื้อเบส เทคนิคการปลดปล่อย การออกฤทธิ์ พื้นฐานดั้งเดิมมันก็มาจากศาสตร์ที่เป็นยามาก่อน เพียงแต่เอาตัวยาออก เปลี่ยนวัตถุประสงค์ใหม่ ใส่สารอื่นลงไป ทำให้เภสัช diff ไปทำงานได้ค่อนข้างหลากหลายมาก แถมได้เวลาส่วนต่างจากแพทย์มาอีก 10 ปี ซึ่งพี่ในตอนนั้นมั่นใจมากว่าสามารถเอาเวลาส่วนต่าง 10 ปีนี้ ไปทำอย่างอื่นได้มากกว่าการเป็น staff แน่นอน (แต่ตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจละ 55555+) แต่อย่างน้อยๆก็ได้เอาเวลาไปศึกษาที่พี่อยากเรียนในวิศวะ-คอมได้ 5555+

แต่ที่บอกว่ามันไปได้ไม่ค่อยสุดเพราะ หากพูดถึงเรื่องยาโดยตรง มันก็หนีไม่พ้นร่มโพธิ์ร่มไทรของกระทรวงสาธารณสุข และชื่อว่ากระทรวงสาธารณสุขยังไงก็ไม่พ้นหมอ ทีนี้ถ้าเราอยากหนีจากยาไปไกลๆ เราจะเหมือนวิ่งลงรากคือเราจะมุ่งไปหาแก่นของวิชาเภสัชศาสตร์ เพื่อนำแก่นนั้นไปใช้ทำอย่างอื่น แต่พอเราเข้าไปในเนื้อแท้ของเภสัชศาสตร์จริงๆ เราจะพบว่าเนื้อแท้มันคือวิทยาศาสตร์ สุดท้ายเราก็จะค่อยๆหลุดวงโคจรจากคำว่าเภสัชกรไปทีละนิด เพราะเราได้ข้ามเส้นเภสัชศาสตร์ กลับไปสู่วิทยาศาสตร์ไปแล้ว (แต่พี่พบว่า คนที่มาจากด้านของเภสัชศาสตร์มุ่งสู่วิทยาศาสตร์ กับคนที่มาจากวิทยาศาสตร์แล้ววิ่งมาหาเภสัชศาสตร์ ดูผิวเผินอาจจะยืนอยู่ในจุดที่ใกล้ๆกัน แต่พื้นฐานและระบบความคิดจะไม่เหมือนกันนะครับ)

เอาละ นี่ก็คือความคิดที่อยู่ในหัวพี่ตอนอยู่ ม.6 (ยกเว้นที่อยู่ในวงเล็บอันก่อนหน้า อันนั้นมาค้นพบทีหลัง)

และจากที่พี่บอกไปตอนต้นว่า ตอนนั้น พี่ศึกษาวิชาชีพนี้จากบอร์ด pharmacafe.com ซะเยอะ พี่อดรู้สึกไม่ได้จริงๆว่า ทำไมคนในวิชาชีพนี้ชอบดราม่ากันจัง (55555+) แต่เอาเถอะ สุดท้ายพี่เลือกเรียนเภสัช เพราะพี่ถามตัวเองด้วยคำถาม 3 คำถาม คือ

  1. เป้าหมายในชีวิตของพี่คืออะไร
  2. การเรียนเภสัชจะยังทำให้พี่อยู่ในเส้นทางของเป้าหมายนั้นไหม
  3. หากมีอะไรผิดพลาด การเรียนเภสัช จะยังคงเปิดช่องให้พี่เปลี่ยนเส้นทางได้อย่างทันท่วงทีไหม

พอพี่ตอบได้ครบ 3 คำถาม พี่จึงเลือกเภสัชครับ

สุดท้ายนี้ แต่ละคนไม่เหมือนกัน มีเหตุผล แนวคิด และพื้นฐานที่แตกต่างกัน จะยึดเอาเหมือนพี่ไม่ได้นะครับ

 


Share this:

Posted in บทความ.

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *