เห็นมีน้องถามเข้ามาเยอะ ตอนแรกตั้งแต่ว่าจะรวบรวมให้ได้ละเอียดๆก่อน เพราะเภสัชมีมากมายหลายสายมาก แต่ละสายก็มีความก้าวหน้าในรูปแบบที่แตกต่างกันไป แต่จนแล้วจนรอด พี่ก็ไม่มีเวลารวบรวมเขียนให้ละเอียดแบบจริงๆจังๆสักที รอบนี้พี่จึงขอเขียนแบบคร่าวๆให้พอเห็นภาพเป็นก่อนนะครับ
ความก้าวหน้าคืออะไร?
ต้องบอกก่อนว่าคำว่าความก้าวหน้าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ละคนก็ให้น้ำหนักกับความก้าวหน้าไปคนละด้าน แต่ที่นิยมมาเปรียบเทียบหลักๆก็จะมี 3 ด้าน คือ 1. รายได้ 2. อำนาจ 3. เกียรติยศและการเคารพนับถือ
ดังนั้นมันขึ้นกับว่าน้องวัดความก้าวหน้าจากอะไรนะ
- จากรายได้
- จากตำแหน่ง/อำนาจ
- จากเกียรติยศและการเคารพนับถือ
- จากความมั่นคงที่เพิ่มขึ้น
- จากความสุข
อันที่จริงคำว่าก้าวหน้ายังมีอีกหลายมุมและหลายมิติมากๆ มันขึ้นอยู่กับว่าน้องให้ความสำคัญกับเรื่องไหนมากกว่ากัน
ความก้าวหน้าในสายงานเภสัช
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเภสัชมีหลายสายงานมากๆ ดังนั้น รูปแบบของความก้าวหน้าก็จะแตกต่างกันออกไปด้วย
อย่างเภสัช รพ.รัฐ ส่วนมากก็จะหยุดอยู่ที่หัวหน้าห้องยา ซึ่งก็คิดเป็น C ก็ประมาณ C8 แต่ รพ.เล็กๆบางโรงที่ไม่มีหมอประจำก็อาจเป็นรักษาการผู้อำนวยการ รพ. ได้ งานราชการน้องต้องคิดด้วยว่าน้องอยากโตในสายบริหาร หรือในสายวิชาการ
หรือน้องอยู่ อย. พวกเงินเพิ่มพิเศษต่างๆจะไม่ได้เยอะเท่ากับอยู่ รพ. แต่น้องก็ได้อยู่ในส่วนกลาง ได้อยู่ในกระทรวง โตได้เรื่อยๆจนเป็นผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒินั่นแหละ แต่ตำแหน่งท็อปๆอย่างเลขา อย. น้องต้องมีสายการเมืองมาหนุนด้วย
เภสัชโรงงาน ถือว่าเป็นอีกสายที่เงินเดือนและตำแหน่งโตค่อนข้างไว (เพราะไม่ค่อยมีคนไปทำและ turnover rate สูงมาก 5555+) ซึ่งมันก็โตไปเรื่อยๆ เป็น sup เป็น manager ไปจนถึง plant manager แต่ก็แลกมากับเวลาทำงานที่มาก (โรงงานยาที่หยุดเสาร์ อาทิตย์ มีน้อยมากนะครับ และช่วงไหนมี event เช่นตรวจ GMP ทั้งเดือนอาจไม่มีวันหยุดเลยด้วยซ้ำ หรืออาจถึงขั้นต้องทำกันข้ามวันข้ามคืนด้วย)
ดีเทลยา อันนี้เป็นสายงานที่สามารถสร้างรายได้ได้เร็วที่สุด แต่ถ้าเลือกที่จะโตในสายงานต่อ ขึ้นเป็น sup เป็น sale manager/director เป็น area เป็น gm (ตำแหน่งขึ้นกับโครงสร้างแต่ละบริษัทด้วย) ก็อาจต้องแลกมากับค่าคอมที่หายไป แต่ได้ความมั่นคงเพิ่มขึ้นมาแทน อะไรแบบนี้
ร้านยา ถ้าน้องเปิดร้านเอง อันนี้ก็ขึ้นกับความสามารถและดวงของน้องนะ แต่ถ้าอยู่ตาม chain ใหญ่ๆ น้องก็จะโตเป็น store manager เป็น area manager ต่อไปจนถึง cluster ถ้าไปสุดจริงๆ ก็ไปถึงออฟฟิศบริหารส่วนกลางได้ (แต่น้อยมาก ที่พี่นึกออกตอนนี้มีคนเดียว เป็น Operations Director อยู่) อย่างไรก็ตามเภสัชมักไม่ชอบโตในรูปแบบนี้เท่าไร
เพราะอะไร?
ยกตัวอย่างร้าน watson ถ้าน้องเป็นเภสัชประจำร้าน น้องจะได้เงินเดือน 18000-20000 ค่าใบอีก 12000 ค่าหยิบ (แล้วแต่ว่าขายได้มากหรือน้อย แต่ปัจจุบันประกันค่าหยิบให้ 3000 คือหยิบได้ไม่ถึง 3000 ก็ให้ 3000 ถ้าเกินก็จ่ายตามจริง) บวกค่า target KPI (หัวข้อละ 300-500) ถ้าอยู่โซน bts ได้ค่าเดินทางอีก 5000 แต่ถ้าน้องเป็น store manager ปุ๊บ น้องจะได้ค่าตำแหน่งเพิ่มอีก 5000 แต่ต้องมาเปิดร้านเช้า ทำเอกสาร แล้วต้องดูทุก division (เภสัชประจำร้านดูแค่ ยา อาหารเสริม เวชสำอางเท่านั้น) ต้องดูแคชเชียร์ด้วย หลายๆครั้งต้องกลับดึก แล้วเวลามีนับสต็อกต้องผลัดไปช่วยร้านอื่นนับ (ในขณะที่เภสัชประจำร้านนับแต่ร้านตัวเอง) และที่สำคัญคือ ถ้าหากเภสัชเป็น store ด้วย น้องมักจะต้องควบทั้งตำแหน่งเภสัชประจำร้านและ store manager ไปด้วย ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีเภสัชอยากโตขึ้นเป็น store (และโตต่อไปเป็น area เท่าไร) เพราะได้เงินเพิ่ม 5000 แต่ภาระงานและความรับผิดชอบเพิ่มขึ้นเยอะ
ปล.ถ้าน้องไม่คิดจะโตไปสายบริหาร แต่จะยังอยู่เภสัชประจำร้านต่อไป เงินเดือนจะขึ้นตามเรท มีเรท 1-5 โดยเรทคิดจาก KPI เรท 1 คือดีสุด เรท 5 คือแย่สุด (ถ้าได้เรท 1 เงินจะขึ้นปีละประมาณ 1-2 พัน แค่นั้น ดังนั้นสายงานนี้ถือว่าเงิน start ค่อนข้างเยอะ แต่รายได้ขึ้นช้ามาก ถ้าน้องไม่คิดจะโตนะครับ)
ส่วนของ boots น้องสามารถเลือกได้ว่าจะโตเป็น specialist สายวิชาการ หรือจะขึ้นสายบริหารเป็น store manager (ในขณะที่ของวัตสันจะมีคล้ายๆกันคือถ้าน้องอยู่นานมาก เกิน 10 ปี เค้าจะมีให้น้องไปสอบเป็นเภสัชอาวุโส แต่จะไม่ได้แยกสายบริหารกับวิชาการชัดเจนไปเลยแบบ boots)
จริงๆงานของเภสัชมีอีกหลายสายงานมาก อันนี้ยกตัวอย่างมาให้เห็นภาพคร่าวๆว่าแต่ละสายงานก็มีข้อดีและข้อเสียรวมถึงความก้าวหน้าในมุมที่แตกต่างกันไป ดังประโยคที่ว่า “ได้อย่างก็ต้องเสียอย่างครับ”
ถ้าสนใจศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับวิชาชีพเภสัช พี่แนะนำหนังสือเล่มนี้ครับ Born to be เภสัชกร Exclusive
Share this: