ไม่รู้นะ สมัยพี่ เป็นช่วงแรกๆที่มีห้องเด็กพิเศษ (มีความสามารถพิเศษ) Gifted เด็กพรสวรรค์ฟ้าประทาน สมัยนี้เค้าเรียกว่าอะไรกันนะ น่าจะ กิ๊ฟวิทย์ มั้ง
ตอนนั้นโรงเรียนพี่ กำลังจะนำร่อง ตั้งห้องเรียนพิเศษพวกนี้ โดยตั้งใจว่า จะตั้งในชั้น ม.1 และ ม.4 ซึ่งตอนนั้นพี่เรียนอยู่ชั้น ม.4
พอประกาศรับสมัครชั้น ม.1 โอ้โห ผู้ปกครองแห่แหนพาลูกมาสมัครกันฟ้าถล่มดินทลาย เป็นประวัติศาสตร์ของจังหวัดเลย ทั้งๆที่ค่าเทอมนี่ น้องๆเอกชนดังๆ ที่ กทม. เลย คะแนนสอบเข้านี่สูงลิบ
ส่วนชั้น ม.4 นั้นตรงกันข้าม
ไม่รู้เป็นโชคดี หรือโชคร้าย ที่ในฐานะนักเรียนห้องกลุ่ม A ของชั้น ม.3 ครูเลยกรอกหูให้เห็นข้อดีของห้องพิเศษที่กำลังจะเปิดในปีหน้าอยู่ทุกวัน
(โรงเรียนพี่ยกเลิกห้องคิงไปแล้ว แต่แบ่งเป็นกลุ่มห้องเรียนเป็น A B และ C แทน เพื่อให้ครูง่ายต่อการสอนเด็ก และบางวิชาจะใช้ข้อสอบคนละชุด หากครูคนไหนอยากช่วยเด็กกลุ่มท้ายๆ)
แต่พวกพี่กลับเห็นเป็นข้อเสียซะงั้น
1. ค่าเทอมแพงมาก เพราะครูต้องเอาไปอัพเกรดพัฒนาระบบการเรียน โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์
2. เรียนเยอะ เลิกช้า กลับบ้านช้า เสาร์ อาทิตย์ ก็มีนัดมาเรียน
3. ไม่ต้องเข้าแถวตอนเช้า เพราะจะได้ไม่เสียเวลาเรียน (อันนี้พี่เห็นเป็นข้อดีนะ 555+)
4. ได้เรียนในห้องแอร์ (อันนี้ก็ข้อดี แต่ก็มาคิดได้ว่า วันดี คืนดี โรงเรียนก็โดนตัดไฟ เพราะไม่จ่ายค่าไฟนิหว่า จะเรียนห้องแอร์ไปทำไม)
5. ได้เรียนเนื้อหานำคนอื่น อยู่ ม.1 ได้เรียนของ ม.ปลายแล้ว ส่วน ม.4 ก็เรียนเนื้อหาของมหาลัยแล้ว
6. ได้มีโอกาสแข่งขันระดับประเทศบ่อยๆ (เอาจริงๆ พี่โครตเกลียดข้อนี้เลย รู้สึกเหมือนโดนเลี้ยงไว้ใช้งาน 5555+ อย่าเอาอะไรกับเด็กที่ไม่ไปสอบโอลิมปิก เพราะกลัวว่าติดแล้วจะเสียเวลาปิดเทอมไป 20 วัน เดี๋ยวเล่นเกมส์เก็บเวลไม่ทันเพื่อน แบบพี่เลยน้อง 5555+)
นั่นแหละ พอ ม.4 ประกาศรับสมัครปุ๊บ ผลคือ มีคนมาสมัครทั้งหมด
” 5 คน”
โปรเจคนี้ของ ม.4 ในตอนนั้นก็เลยล่มไป
ในความรู้สึกของทุกคนตอนนั้น ก็คือ “อยากเป็นแค่ เด็กธรรมดามากกว่า ชีวิต ม.ปลาย มันสั้นนัก แค่ รด. ก็เอาชีวิต ม.ปลายหายไปสัปดาห์ละวันแล้ว อย่าเพิ่มอะไร ให้ตูอีกเลย”
แน่นอนว่า ช่วงนั้นกระแส Gifted กำลังมาแรง พอเข้าสู่ ม.6 ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะสอบแข่งกับพวกนี้
แต่เอาเข้าจริงๆ ผลลัพธ์ก็ไม่ค่อยต่างเท่าไร
จริงๆ ตอน ม.ปลาย ครูก็มักเทียบให้ฟังเสมอ ว่า เด็ก gifted ม.1 มันเรียนเรื่องนี้แล้วนะ แล้วทำได้ดีกว่าพวกแกด้วย (ของจริง มันแรงกว่านี้นะ อันนี้ลดความแรงไป 90%)
ผลงานก็วิชาการ ก็ไม่ค่อยมี เพราะพวกหัวกะทิ เด็กแข่ง จริงๆ ก็ติดเตรียมอุดม กับมหิดล ไปหมดแล้วตั้งแต่ ม.3 แต่ก็พอเหลือคนไปโอลิมปิกค่าย 3 ค่าย 4 บ้าง
สุดท้าย คะแนนสอบออกมาจริงๆ ในปีนั้น ถ้าเอาเด็กกลุ่ม A โรงเรียนพี่ ไปเทียบกับ Gifted โรงเรียนอื่น ถ้าเอาสถิติมาจับจริงๆ พี่ว่า ก็น่าจะแตกต่างแบบไม่มีนัยสำคัญ (แต่อย่าไปเทียบกับโรงเรียนเกรด A ใน กทม. นะ อันนั้นมัน มวยคนละรุ่น)
ไม่รู้ว่า หลังจากนี้เป็นยังไงนะ แต่พี่เชื่ออยู่อย่างนึงว่า มันก็เหมือนปลูกต้นไม้ มีปัจจัย 3 อย่าง
1. เมล็ด = ตัวเราเอง
2. ดิน = สิ่งแวดล้อม
3. ฟ้าฝน = ดวง
พวกเด็กห้อง gifted ที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน มันก็เหมือนอยู่ดินเดียวกับเรา เพียงแต่ว่าพวกนี้เหมือนถูกพรวนดิน ใส่ปุ๋ยเป็นพิเศษ ใส่ฮอร์โมนเฉพาะ เพื่อดึงศักยภาพเฉพาะด้านของคนๆนั้นออกมา
อ่อ ลืมบอกไป
ก่อนหน้านี้ พี่ก็ไม่ใช่เด็กกลุ่ม A นะครับ ก่อนหน้านี้ตอน ม.1 ม.2 พี่ก็อยู่ห้องกลุ่ม B มาก่อน แต่ ม.2 คะแนนเยอะจัด (จริงๆไม่มีไรหรอก แค่พี่ส่งงาน แต่เพื่อนมัน(แทบ)ไม่ส่ง(เลย) คะแนนก็เลยนำโด่ง) เลยโดนย้ายไปอยู่ กลุ่ม A
ตอนย้ายไปแรกๆนี่ culture shock ไปเลย อย่าลืมตอน ม.3 ไอพวกติดมหิดล กับเตรียมอุดม มันยังอยู่นะ คือ แต่ก่อนอยู่ห้องกลุ่ม B สิ่งที่คุยกันคือ เย็นนี้ไปเล่นเกมส์ที่ไหน แต่สิ่งที่พวกนี้คุยกันคือ ไปสอบที่ไหน ข้อนี้ทำไง ทฤษฎีนี้จริงไหม คาบว่าง ตอนอยู่กลุ่ม B เล่นยูกิ ไม่ก็บูชายัน พวกกลุ่ม A เข้าห้องสมุด เปิดโจทย์ นั่งทำ จำได้เลยว่า ข้อแรก มันนั่งทำ รอก ให้ตายเหอะ ตอนนั้นแรงตึงเชือกคืออะไรพี่ยังไม่รู้จักเลย ส่วนวิชาเลือก ตอนอยู่กลุ่ม B พี่แย่งกันเลือก เกษตร แต่พวกกลุ่ม A แย่งกันเลือก เลขเพิ่มเติม ไปเทอมแรกนี่พี่เกรดร่วงเลย
Share this: